กลับมาต่อเรื่องราวน่ารู้ของ The Hobbit: An Unexpected Journey อีก 25 ข้อที่เหลือ เนื้อหาต่อจากนี้ก็จะมีทั้งปัญหาในการดำเนินงาน นักแสดงนำของเรื่อง ระบบการถ่ายทำ และเกร็ดเล็กเกร็ดน้อย ถ้าอยากอ่านต่อ เขยิบสายตาไปที่ย่อหน้าถัดไปได้เลย สำหรับใครที่ยังไม่ได้อ่านตอนแรกก็คลิก ที่นี่ เลยครับ
26. การเข้ามาแทนที่
.
ข่าวลือเรื่องการเข้ามาเป็นผู้กำกับแทนเดล โตโร เริ่มหนาหูขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยผู้กำกับที่ตกเป็นข่าวมีอยู่ 2 ราย รายแรกเป็นผู้กำกับหนังไซไฟ District 9 อย่างนีลล์ บลอมแคมพ์ และอีกรายคือ เดวิด เยตส์ จาก Harry Potter ทั้งสองรายต่างประสบความสำเร็จกับหนังของตัวเองเป็นอย่างดี แต่มันก็เป็นเพียงแค่ข่าวลือเท่านั้น เพราะนิวไลน์กับเอ็มจีเอ็มได้หมายตาคนอื่นไว้แล้ว
27. ปีเตอร์ แจ็คสัน
.
ในเดือนตุลาคมปี 2010 สิ่งที่ไม่น่าเป็นไปได้ ได้ถูกประกาศขึ้น ปีเตอร์ แจ็คสันจะทำหน้าที่กำกับหนังทั้ง 3 เรื่องของ The Hobbit
“การสำรวจโลกมิดเดิลเอิร์ธของโทลคีนยังคงล้ำจินตนาการ และได้ประสบการณ์ที่ดีกว่าหนังธรรมดาทั่วไป” แจ็คสันกล่าว “มันเป็นเรื่องราวการผจญภัยที่เหนือจินตนาการกว่าสถานที่แห่งใด ทั้งสวยงามและเต็มไปด้วยอารมณ์ความรู้สึก ทีมงานของเรายังคงเฝ้ารอการเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของโลกแห่งจินตนาการนี้อีกครั้งพร้อมกับแกนดาล์ฟและบิลโบ”
28. สติง
.
สติง เป็นมีดเล่มยาวเหมาะมือ ในหนัง The Hobbit แกนดาล์ฟเป็นคนเจอท่ามกลางคลังสมบัติของโทรลล์ และเขานำมันมาให้กับบิลโบ เมื่อสติงอยู่ในมือของฮอบบิท มันก็ใหญ่พอที่จะใช้เป็นอาวุธได้ และความสามารถพิเศษที่เพิ่มเข้ามาก็คือ สติงจะเรืองแสง เมื่อใดก็ตามที่มีพวกออร์ค หรือพวกก็อบลินอยู่ในบริเวณใกล้ๆ
29. แกลมดริง
.
แกลมดริง เป็นดาบยาวที่ต้องใช้สองมือประคอง ถูกสร้างขึ้นโดยเอลฟ์นามว่า เทอร์กอน อาวุธชิ้นนี้หายสาบสูญไปกว่า 6,000 ปี แต่ในที่สุดก็ถูกค้นพบโดยพ่อมดเทาแกนดาล์ฟ ในคลังสมบัติของโทรลล์ แกลมดริงเป็นอาวุธที่แกนดาล์ฟใช้ต่อสู้ใน The Lord Of The Rings ซะส่วนใหญ่ และก็เหมือนกับสติงและออร์คริสท์ (อาวุธของธอริน โอเคนชีลด์ ที่พบในสถานที่เดียวกับสติงและแกลมดริง) ดาบจะเรืองแสงสีน้ำเงินยามที่มีออร์คหรือก็อบลินอยู่ใกล้ๆ
30. นักแสดงเดิมๆที่คุ้นเคย
.
ด้วยการที่ปีเตอร์ แจ็คสันได้เข้ามากำกับ The Hobbit หลังจากประสบความสำเร็จอย่างมากใน The Lord Of The Rings เขาได้นำทีมนักแสดงหน้าเดิมๆ กลับเข้ามามีส่วนร่วมในโปรเจคใหม่นี้อีกครั้ง ซึ่งหมายความว่า แม้ว่าในเวอร์ชั่นหนังสือ The Hobbit ของโทลคีน จะไม่มีตัวละครอย่าง กาลาเดรียล แต่เราก็จะได้เห็น เคท แบลนเชตต์ ในเวอร์ชั่นภาพยนตร์ นอกจากนั้นยังมีนักแสดงคนอื่นๆอีกที่กลับมา
31. โฟรโด แบ็กกินส์
.
โฟรโดไม่ใช่ตัวละครสำคัญใน The Hobbit แต่ว่าเขาจะปรากฎตัวในหนัง เพื่อเชื่อมเรื่องราวระหว่าง The Hobbit กับ The Lord Of The Rings
“มันมีข้อจำกัดในการเข้าไปมีส่วนร่วมกับหนังเรื่องนี้ เพราะถ้ามีบางสิ่งไปละเมิดกับความสมบูรณ์ของต้นฉบับหนังสือ เนื้อหาหนังคงจะออกมาเละเทะ” อีไลจาห์ วู้ด กล่าวในการกลับมาร่วมงานอีกครั้ง “แต่ประเด็นนั้นไม่ใช่ปัญหาหลัก เพราะมันเหมือนกับเป็นการย้อนเวลา เพื่อกลับไปเล่าเรื่องราวมากกว่า”
32. เหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นมาก่อนแล้ว
.
ตามข้อมูลใน TheOneRing.net การที่โฟรโดมีส่วนร่วมใน The Hobbit เหมือนกับเป็นเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นมาก่อนแล้ว (Framing device) หนังสือที่บิลโบเขียนไว้ใน The Lord Of The Rings จะถูกอ่านโดยโฟรโดใน The Hobbit ซึ่งโฟรโดจะได้รู้เรื่องราวการผจญภัยของบิลโบพร้อมกับที่เรารู้ คล้ายกับว่าเป็นเรื่องราววกวนไม่มีจุดเริ่มต้นที่แน่นอน (เนื้อหาส่วนนี้อาจจะปรากฎในภาค 2 หรือ 3)
33. มาร์ติน ฟรีแมน
.
ใครจะมาเล่นเป็นบิลโบล่ะ? เอียน โฮล์ม เล่นบทนี้ไว้อย่างดีใน The Lord Of The Rings แต่ทีมงานอยากได้นักแสดงที่มีความสามารถพอๆกันที่จะมารับบทบิลโบเวอร์ชั่นหนุ่มกว่า ซึ่งแจ็คสันก็หาเขาพบในอังกฤษ นั่นคือมาร์ติน ฟรีแมน ผู้ที่เกือบจะไม่ได้รับบทนี้แล้ว เพราะติดการถ่ายหนังทีวีซีรีย์ Sherlock
“เมื่อผมรู้ว่าผมจะทำงานสองอย่างพร้อมกันไม่ได้ ผมก็รู้สึกเศร้ามาก” ฟรีแมนกล่าว “แต่หลังจากนั้นผมก็ดีใจมาก เมื่อปีเตอร์ แจ็คสัน เปลี่ยนกำหนดการสร้างหนังให้เข้ากับเวลาว่างของผม แต่ผมก็มีความสึกกังวลเข้ามาแทนที่ กังวลที่จะต้องออกจากบ้านไปที่ไกลๆ”
34. คนเดียวเท่านั้นสำหรับบิลโบ แบ็กกินส์
.
“จากข่าวลือและการคาดเดาต่างๆนานาเกี่ยวกับตัวละครนี้ จะมีเพียงแค่คนเดียวเท่านั้นที่จะมารับบทบิลโบ แบ็กกินส์ให้เราได้” ปีเตอร์ แจ็คสันกล่าวแก่สื่อมวลชนที่เห็นพ้องในการมาแคสบทของฟรีแมน
“มีเพียงแค่ไม่กี่ครั้งในชีวิตการทำงาน ที่คุณจะได้พบกับนักแสดงที่เกิดมาเพื่อเล่นบทนั้นๆ ซึ่งผมก็ได้พบกับเหตุการณ์นี้แล้ว เมื่อผมพบกับมาร์ติน เขาเป็นคนที่ฉลาด ตลก น่าแปลกใจ และกล้าหาญ – เหมือนกับตัวละครบิลโบ และผมก็ภูมิใจอย่างมากที่จะประกาศว่า เขานี่แหละคือฮอบบิทของเรา”
35. เบเนดิคท์ คัมเบอร์แบทช์
.
สำหรับบทมังกรสม็อก แจ็คสันได้นักแสดงอีกคนจากซีรีย์ Sherlock นั่นก็คือ เบเนดิคท์ คัมเบอร์แบทช์ มารับบทสัตว์เลื้อยคลานมีเกล็ดขนาดใหญ่ คัมเบอร์แบทช์จะต้องสวมชุด mo-cap (Motion capture กระบวนการในการบันทึกการเคลื่อนไหวของร่างกาย) ในการแสดงเป็นอสูรกาย มังกรสม็อก
“ผมแสดงออกทั้งตัวในการเล่นเป็นมังกร ไม่ใช่แค่เพียงเสียงเท่านั้น” คัมเบอร์แบทช์ที่เล่นเป็นมังกรกล่าว “มันเป็นบทบาทการแสดงด้วยร่างกายที่ผมคุ้นเคย” นอกจากนี้เขายังให้เสียงพากย์ตัวละครจอมมาร
บทหลักของมังกรสม็อกจะปรากฎในหนังภาคที่ 2 ตอน The Desolation of Smaug
36. แอนดี้ เซอร์คิส
.
ด้วยการที่ใน The Hobbit มีบทกอลลัมด้วย แอนดี้ เซอร์คิส จึงต้องกลับมาอย่างแน่นอนเพื่อเล่นบทนี้อีกครั้ง แต่ครั้งนี้เขามีสิ่งที่ต้องรับผิดชอบมากขึ้น เขามีหน้าที่ในการควบคุมกองถ่ายทำย่อยที่ 2
“มันค่อนข้างน่าหลงไหลเลยล่ะ” เซอร์คิสกล่าว “ผมมีหน้าที่ต้องรับผิดชอบ มันเป็นงานที่ใหญ่ เรากำลังอยู่บนถนน จากหลายๆที่ในเกาะใต้ของนิวซีแลนด์ มีบางสถานที่ที่สวยงามมากๆในระหว่างการถ่ายทำของเรา มันน่าทึ่งมาก”
37. สตีเฟ่น ฟราย
.
นักแสดงอังกฤษที่เป็นที่รู้จักดีอย่าง สตีเฟ่น ฟราย จะมารับบทเจ้าแห่งนครทะเลสาบ และดูเหมือนว่าบรรดาแฟนคลับของโทลคีนจะเห็นด้วย
“คาแรคเตอร์ของผมจะเป็นคนโลภอย่างมาก ผมจะต้องเปลี่ยนรูปลักษณ์ใหม่ ทั้งใส่วิกผม เสริมหนวดเครา เติมผิวหนัง และเล็บมือ แต่ละอย่างน่าเกลียดชะมัด”
(ทีแรกตัวละครเจ้าแห่งนครทะเลสาบจะปรากฎในภาคแรกเลย แต่เมื่อมีการแบ่งหนังออกเป็น 3 ภาค ตัวละครนี้จะไปปรากฎในหนังภาค 2 The Desolation of Smaug แทน)
38. ความขัดแย้งในกระบวนการสร้าง
.
อีกหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้กระบวนการสร้างล่าช้าก็คือ การที่สมาคมการค้าออสเตรเลีย MEAA (Media, Entertainment & Arts Alliance) ได้ออกคำเตือนว่า นักแสดงนิวซีแลนด์ทุกคนไม่ควรรับงานหนัง The Hobbit นอกจากแจ็คสันตกลงที่จะมอบ ‘การรับประกันในเรื่องค่าแรงขั้นต่ำและสถานภาพการทำงาน’ เสียก่อน
การโต้กลับของแจ็คสันก็คือ เขาตัดสินใจหนีไปถ่ายทำในยุโรปตะวันออกแทน ซึ่งทำให้เกิดการพูดคุยอย่างเร่งด่วนกับนายกรัฐมนตรีของนิวซีแลนด์ ท้ายที่สุดปัญหาก็คลี่คลายลง ด้วยการที่กองถ่ายได้กลับมาถ่ายทำที่นิวซีแลนด์ตามแผนการเดิม
39. ปัญหาไฟไหม้
.
ปัญหาหลายส่วนดูเหมือนจะคลี่คลายลงแล้ว แต่ก็มีอีกปัญหาเกิดขึ้นมา นั่นก็คือห้องทำงานของแจ็คสันเกิดไฟไหม้ ที่สาเหตุอาจเกิดจากการถ่ายทำ และการเสื่อมถอยของวัสดุอุปกรณ์ เหตุการณ์ในครั้งนี้ใช้นักดับเพลิงกว่า 50 นายกว่าจะระงับเปลวเพลิงได้สำเร็จ
40. ริชาร์ด อาร์มิเทจ
.
ริชาร์ด อาร์มิเทจ จะมารับบทผู้นำของเหล่าคนแคระ นามว่า ธอริน โอเคนชีลด์
“ริชาร์ดเป็นหนึ่งในนักแสดงที่น่าตื่นเต้น เต็มไปด้วยพลังในการทำงานสำหรับทุกวันนี้ และเราก็รู้ว่าเขาจะมอบความมหัศจรรย์ให้กับบทธอริน โอเคนชีลด์ได้” แจ็คสันกล่าว “เราแทบจะรอไม่ไหวที่จะได้ร่วมผจญภัยกับธอริน และเรารู้สึกว่าโชคดีมากเพียงใด ที่ตัวละครที่เป็นที่รักในโลกมิดเดิลเอิร์ธตัวนี้ ตกอยู่ในมือของนักแสดงที่ดี”
41. กล้อง Red Epic
.
แจ็คสันไม่ได้ล้อเล่นเมื่อเขาพูดว่า เขาจะใช้เทคโนโลยีใหม่ล่าสุดในการถ่ายทำ The Hobbit เขาตัดสินใจใช้กล้อง Red Epic รุ่นใหม่ 30 ตัวในการถ่ายทำหนังในระบบ 3 มิติ
“มันเป็นเครื่องมือที่สุดยอดมาก” แจ็คสันเล่า “กล้องตัวนี้ไม่เพียงแค่เป็นเทคโนโลยีที่ล้ำยุคที่สุด มอบคุณภาพและความละเอียดที่สูงที่สุด แต่มันเป็นสุดยอดนวัตกรรมสำหรับนักสร้างหนังเลยทีเดียว”
42. ระบบ 3D
.
เซอร์คิสเห็นด้วยกว่านี้ไม่ได้อีกแล้วเกี่ยวกับคุณภาพของกล้อง Red Epic
“มันไม่เหมือนกับสิ่งอื่นใดที่ผมเคยเห็นมาก่อน” เขาพูด “มันเป็นสิ่งที่แตกต่างจากสิ่งอื่นอย่างมาก น่าเหลือเชื่อ คุณจะรู้สึกเหมือนเข้าไปอยู่ในหนัง รอบล้อมด้วยบรรยากาศของตัวละคร รับรองว่าคนดูจะต้องไม่ผิดหวัง”
43. ทุนสร้างมโหฬาร
.
หลังจากปัญหาทางการเงินของเอ็มจีเอ็มสิ้นสุดลง วอร์เนอร์ก็ตกลงจะช่วยเหลือในส่วนของทุนสร้าง ซึ่งทุนสร้างของหนังทั้งหมดก็มโหฬารถึง 500 ล้านเหรียญ
ทุนสร้างที่สูงขนาดนั้นก็ทำให้วอร์เนอร์ลังเลได้เหมือนกัน เพราะเมื่อพิจารณาจากทุนสร้างของหนัง The Lord Of The Rings ทั้งสามภาคตกอยู่ที่ราว 280 ล้านเหรียญ เมื่อแบ่งรายเรื่องก็จะเรื่องละประมาณ 94 ล้านเหรียญ แต่ของ The Hobbit ดูจะใช้ทุนสร้างเยอะมาก แต่วอร์เนอร์ก็หวังว่าจะได้ผลตอบแทนที่มากกว่า ทั้งความยิ่งใหญ่ของหนัง และรายได้ที่จะตามมา
44. การป่วยไข้
.
ด้วยกำหนดถ่ายทำที่วางเอาไว้ในเดือนกุมภาพันธ์ 2011 ปีเตอร์ แจ็คสันก็เกิดป่วยกะทันหัน ด้วยอาการปวดท้องในช่วงปลายเดือนมกราคม และถึงกับเข้าโรงพยาบาลเวลลิงตัน เพื่อทำการผ่าตัดจากสาเหตุกระเพราะอาหารเป็นแผล
“การผ่าตัดของเซอร์ปีเตอร์ ไม่คาดคิดมาก่อนว่าจะมีผลกระทบต่อหน้าที่การกำกับหนัง The Hobbit ซึ่งในที่สุดก็ทำให้เกิดความล่าช้าเล็กน้อยในการเริ่มต้นการถ่ายทำ” จากคำแถลงการณ์ของเจ้าหน้าที่
45. วันเริ่มการถ่ายทำครั้งใหม่
.
หลังจากที่แจ็คสันฟื้นคืนสู่สภาพปกติจากแผลผ่าตัด กองถ่ายหนังก็มีกำหนดเริ่มถ่ายทำในวันที่ 21 มีนาคม 2011 “ด้วยปัญหาความล่าช้าหลายประการ พวกเราได้กลับมากองถ่ายอีกครั้ง และรู้สึกตื่นเต้นมากที่จะได้เริ่มงานซักที” แจ็คสันกล่าวในเวลานั้น
46. ชื่อหนัง
.
ในเดือนพฤษภาคมปี 2011 ชื่อหนังอย่างเป็นทางการของ The Hobbit 2 ภาคก็เปิดเผยออกมา ได้แก่ The Hobbit: An Unexpected Journey และ The Hobbit: There And Back Again
ชื่อแรก (An Unexpected Journey) นำมาจากชื่อบทแรกของฉบับหนังสือ ส่วนชื่อหลัง (There And Back Again) เป็นชื่อหนังสือ The Hobbit อีกชื่อที่โทลคีนคิดไว้ (ภายหลังหนังมีการแทรกเรื่องราวด้วยการเพิ่ม The Desolation of Smaug มาเป็นหนังภาค 2 แล้วค่อยจบด้วย There And Back Again)
47. บันทึกการสร้าง
.
ในระหว่างการดำเนินการสร้างหนัง The Hobbit ผู้กำกับปีเตอร์ แจ็คสันได้มีการเก็บบันทึกความคืบหน้าของโปรเจคด้วยวิดีโอ ซึ่งทำให้วิดีโอบันทึกการสร้างพวกนี้กลายเป็นเบื้องหลังการทำงาน ที่ผู้ชมสามารถหาดูได้จาก YouTube ลองดูตัวอย่างบางตอนจากวิดีโอข้างล่าง
.
48. ตัวอย่างหนัง
.
ตัวอย่างหนังภาษาอังกฤษเวอร์ชั่นแรกของ The Hobbit: An Unexpected Journey ถูกปล่อยออกมาเมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2011 แต่ที่นำมาให้ดูข้างล่างนี้เป็นเวอร์ชั่นล่าสุดบรรยายไทย ลองไปดูกัน
.
49. หนังเวอร์ชั่นพิเศษ Extended Editions
.
ชอบ The Lord Of The Rings เวอร์ชั่นพิเศษใช่มั้ย? เตรียมพร้อมได้เลยกับ The Hobbit เพราะแจ็คสันรับรองว่าจะนำ The Hobbit เวอร์ชั่นพิเศษ Extended Editions ออกมาให้แฟนๆได้ดูอย่างแน่นอน และที่ดีไปกว่านั้น คุณจะรู้สึกคุ้นเคยกับ The Lord Of The Rings อีกครั้ง เพราะคอลเลคชั่น DVD จะออกมาสวยงามไม่แพ้กัน
50. กำหนดการฉาย
.
หนัง The Lord Of The Rings แต่ละภาคจะไล่กันออกฉายใกล้วันคริสมาสต์ของแต่ละปีต่อเนื่องกัน (ตั้งแต่ 2001 จนถึง 2003) ซึ่งเหล่าแฟนๆก็จะตั้งตารอภาคต่ออย่างใจจดใจจ่อ
แจ็คสันได้นำสูตรเดิมในการเปิดตัวในอเมริกามาใช้อีกครั้งกับ 2 เรื่องแรก ด้วยการปล่อย An Unexpected Journey ในวันที่ 14 ธันวาคม 2012 และ The Desolation of Smaug ในวันที่ 13 ธันวาคม 2013 ส่วน There And Back Again จะเปิดตัวอย่างยิ่งใหญ่กลางซัมเมอร์ ในวันที่ 18 กรกฎาคม 2014
.
รับรองว่าหนังภาคแรกที่จะเข้าฉายในไม่กี่วันต่อจากนี้อย่าง The Hobbit: An Unexpected Journey จะต้องสร้างความประทับใจให้กับแฟนๆได้อย่างแน่นอน เพราะโปรเจคทั้งสามได้รับการกลั่นกรองและมุมานะถ่ายทำกันอย่างสุดฝีมือ จะเห็นได้จากว่า แม้จะมีปัญหาต่างๆรุมเร้ามากมาย แต่ทีมงานก็ฝ่าฟันอุปสรรคนั้นมาได้อย่างสุดยอด นี่จะกลายเป็นหนึ่งในโปรเจคหวังเงินและรางวัลของวอร์เนอร์ในปีนี้ และถัดไปอีก 2 ปีอย่างไม่ต้องสงสัย…
ปรับปรุงข้อมูลและนำภาพประกอบมาจาก TotalFilm